Sign in / Join

คุณก็แค่พนักงานคนหนึ่ง

คุณเคยมอบกายถวายชีวิตให้กับองค์กรไหม? คุณเคยทำงานหน้าดำคร่ำเครียดกลับถูกหาว่าคุณไม่ใส่ใจงานบ้างหรือเปล่า? คุณเคยถูกเพื่อนร่วมงานใส่ร้ายแล้วเอางานของคุณไปเป็นของตัวเองหรือไม่?

“เราไม่ได้จะบอกให้ท่าน ต้องลาออกจากงานประจำ เพียงแต่เราอยากให้ท่านทบทวนความต้องการของชีวิตว่าแท้จริงแล้วเราต้องการอะไร”

“ชีวิต…ของพนักงานคนหนึ่ง หลังจากทำงานมาได้สักพัก เมื่อคุณยื่นจดหมายลาออก หรือถ้าร่างกายของคุณป่วยไม่สามารถทำงานต่อได้ องค์กรก็สามารถหาคนใหม่มาแทนคุณได้ แต่ถ้าครอบครัวของคุณขาดคุณ อาจไม่สามารถหาใครมาแทนคุณได้ จงให้ความสำคัญกับชีวิตและครอบครัว”

ชีวิตของพนักงานหลายๆ คนก็คงไม่ต่างกัน โดยเฉพาะพนักงานระดับปฏิบัติการที่ต้องทนรับแรงกดดันจากผู้บริหารหลายระดับ และภาระงานมากมายที่กองอยู่ตรงหน้า บางคนบ้านไกลต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ กว่าจะกลับถึงบ้านก็เล่นเอาหมดแรง เวลาที่จะกลับไปดูแลคนในครอบครัวแทบจะไม่มี หลายคนอดหลับอดนอนอยู่ทำงานจนดึกดื่น แต่ขอโอทีไม่ได้ ขณะที่บางคนโอทีได้เป็นหมื่น แต่ต้องนำเงินจำนวนนั้นไปรักษาอาการป่วยที่มีสาเหตุมาจากการโหมงานหนัก

“งานคือส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต”

บางคนก่อนที่จะตัดสินใจยื่นใบลาออก เราก็ต้องผ่านการคิดแล้วคิดอีกว่า “การตัดสินใจของเรากระทบต่อผู้อื่นหรือไม่” หากกระทบเรามีทางลดผลกระทบนั้นอย่างไร เช่น อาจจะต้องแจ้งต่อเจ้านายหรือหัวหน้างานล่วงหน้า 30 วัน หรือตามกฎระเบียบขององค์กรของนั้นๆ

แม้บางครั้งเมื่องานรุมเร้า เราก็อาจจะเกิดความรู้สึกว่า “บริษัทขาดเราไปหนึ่งคน เพียงไม่นานเขาก็สามารถหาคนมาแทนเราได้” เราอาจจะไม่สามารถไปกำหนดให้ทุกคนหรือให้ทุกอย่างเป็นไปดั่งใจเราได้ แต่เรามีสิทธิ์เลือกว่าเราอยากให้ชีวิตของเราเป็นเช่นใด

หากแต่เมื่อเราจำเป็นต้องเลือกระหว่าง “งาน” กับ “ครอบครัว” เราจะเลือกอะไร? คำถามนี้เป็นคำถามที่หาคำตอบยากไม่น้อย หลายคนสุขภาพทางกายและใจหล่นหายระหว่างการทำงาน กระแสสังคมที่บีบบังคับให้เรา “ต้องมี” “ต้องเป็น” “ต้องได้” ทำให้สุขภาพกายและใจไม่สมดุล ส่วนการงานก็เสมือนแหล่งรายได้ที่นำมาซึ่งอำนาจในการใช้จ่ายและถือเป็นปัจจัยที่สำคัญชีวิต เราจึงต้องหับกลับมาทบทวนอีกครั้งว่า “สุดท้ายแล้ว ชีวิตของเราต้องการอะไร”

เราต้องการแค่เงินทอง ฐานะ ความมั่งคั่งเพียงเท่านั้นหรือ เราต้องการเพียงชื่อเสียง ลาภยศเพียงเท่านั้นหรือ แล้วครอบครัวของเราล่ะ?

ทั้งนี้จะด้วยภาระหรือหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบมากมาย เราก็คงต้องทำในสิ่งที่เราควรทำ ไม่ว่าจะเป็นการจัดระเบียบชีวิต จัดสมดุลในการทำงาน หาเวลาอยู่กับครอบครัวให้มากขึ้น เป็นต้น

มาถึงตรงนี้เราเชื่อว่าหลายๆ คนคงจะมีคำตอบที่ดีและเหมาะสมกับตัวเองแล้ว

ไม่ว่าเราจะเลือกแบบไหนก็ตาม การทำงานและครอบครัวก็ต้องเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันเสมอ ครอบครัวคือสถาบันที่ทำให้เราเป็นคนที่อิ่มเต็มจากภายใน หากครอบครัวของเราอบอุ่นก็เป็นกระแสพลังงานบวกที่ดีต่อใจทั้งต่อเราและคนในครอบครัว ส่วนหน้าที่การงานก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราและครอบครัวมีใช้มีจ่าย

ดังนั้นก็จะเห็นว่า “งาน” และ “ครอบครัว” คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน เราจึงต้องปรับเปลี่ยนและจัดระบบทั้งสองอย่างให้ลงตัวที่สุด